ระบบการศึกษาถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างหนึ่งที่เป็นรากฐานของประเทศเลย กล่าวคือหากประเทศไหนการศึกษาดี นั่นหมายความว่าทรัพยากรมนุษย์ประเทศนั้นจะดีตามไปด้วย จีนเองที่ตอนนี้กำลังเป็นมหาอำนาจของโลกที่ใครต่างก็เฝ้าจับตามอง เราลองมองทะลุไปให้ลึกว่าตอนนี้ประเทศจีนมีระบบการศึกษาอย่างไร แตกต่างจากของไทยอย่างไร เราลองมาเทียบกันทีละประเด็น
ระบบการสอบเก็บคะแนน
ย้อนกลับไปตอนเราเรียนหนังสือสมัยประถม จนถึงมัธยม เกือบทุกวิชาจะมีการเก็บคะแนนระหว่างภาคเรียน ไปเรื่อยๆเพื่อสะสมคะแนนแล้วสอบปลายภาคอีกหนึ่งครั้งเพื่อประมวลผลการเรียนรู้ทั้งหมดในภาคเรียนนั้น แล้วตัดเกรด แต่หากเป็นประเทศจีน จะไม่เน้นการสอบเก็บคะแนนระหว่างภาคเลย จะเน้นการสอบปลายภาคอย่างเดียว ที่สำคัญจะเน้นการสอบข้อเขียนอย่างเดียวด้วย
ระบบการจบการศึกษา
ระบบการผ่านชั้นเรียน หรือ จบการศึกษาตามระดับช่วงชั้นของตัวเองจะแตกต่างกัน หากเป็นของไทยการประเมินจะแบ่งออกเป็นสามระดับตั้งแต่ ระดับชั้นเรียน ระดับโรงเรียน และระดับชาติ แต่หากเป็นของจีน ระดับชั้นประถมไม่ต้องผ่านการสอบ แต่หากเป็นระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ไปสู่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจะต้องผ่านการทดสอบจากหน่วยงานด้านการศึกษาในท้องที่ มีการกำหนดเกณฑ์คะแนนผ่านออกมาด้วย วิธีนี้ยังใช้กับระดับมัธยมปลายเพื่อเข้าสู่ระบบอุดมศึกษาด้วย หากไม่ผ่านตามกำหนดคะแนนก็จะไม่ผ่าน ถือว่าเป็นระบบการวัดคนที่ค่อนข้างเข้มเลยทีเดียว
ช่วงเวลาปิดเทอม
ปิดเทอม ใครว่าไม่สำคัญ การปิดเทอมส่วนมากจะสอดคล้องกับสภาพแวดล้อม สภาพภูมิประเทศของประเทศนั้นด้วย ไทยเราการปิดเทอมจะมีสองช่วง หนึ่งจะเป็นปิดเทอมช่วงหน้าร้อน ตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม จนถึง ต้นเดือนพฤษภาคม อีกช่วงจะเป็นปลายเดือนกันยายนจนถึงต้นเดือนตุลาคม ส่วนทางประเทศจีนจะมีการปิดเทอมสองช่วง หนึ่งจะเป็นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ สองเดือนกรกฎาคม จนถึง เดือน สิงหาคม
อิทธิพลทางด้านศาสนา
การเรียนการสอน ทั้งสองประเทศมีเรื่องศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าเป็นไทยเรา แม้ว่าศาสนาพุทธจะเข้ามามีบทบาทในการเรียนการสอนในวันสำคัญทางพุทธศาสนา การเรียนศาสนาวันอาทิตย์ การบวชเรียนภาคฤดูร้อน แล้ว ยังมีโรงเรียนที่จัดทำขึ้นเพื่อรองรับศาสนาอื่นด้วยไม่ว่าจะเป็นคริสต์ , อิสลาม ส่วนทางประเทศจีนจะเน้นอิทธิพลความเชื่อจากลัทธิขงจื้อเป็นหลัก
พักเที่ยง
ประเด็นนี่ก็น่าสนใจ เชื่อหรือไม่ว่า พักเที่ยงของไทยเรากับจีนแตกต่างกันมาก ถ้าเป็นของไทย การพักเที่ยงจะใช้เวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น แต่หากเป็นฝั่งชาวจีนการพักเที่ยงจะมากกว่า พวกเค้าจะใช้เวลาพัก สองชั่วโมงด้วยกัน พักมากขึ้นนอกจากจะรับประทานอาหารแล้วยังนอนกลางวันเล็กน้อยเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายด้วย
กลุ่มสาระวิชาที่ใช้เรียน
วิชาที่เรียน ของไทยกับจีนก็มีทั้งจุดเหมือนและแตกต่างกันอยู่ในนั้น ของจีนจะแบ่งกลุ่มสาระการเรียนออกเป็น 6 กลุ่มด้วยกัน คือ วิชาภาษาและวรรณคดี, คณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์, ภาษาต่างประเทศ, วิชาความประพฤติและคุณธรรม, วิชาดนตรีและพลศึกษา แต่หากเป็นของไทยจะแบ่งออกเป็น 8 กลุ่ม ภาษาไทย, คณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์, สังคมศึกษา, สุขศึกษา, ศิลปะ, การงานพื้นฐานอาชีพ และ ภาษาต่างประเทศ จะเห็นจุดต่างว่าของเค้าจะเอาดนตรีและพลศึกษามารวมกันแต่ของไทยเราแยกออกไป
การจัดการระดับมหาบัณฑิต
ไปดูการเรียนการสอนระดับปริญญาโทกันบ้าง หากเป็นของไทยการเรียนระดับปริญญาโทจะมีสองแผนการเรียน ไม่ว่าจะเป็นคณะ หรือ สาขาวิชาเอกไหนก็ตาม นั่นคือ แผน ก และ แผน ข (สองแผนนี้แตกต่างกันเรื่องทำวิทยานิพนธ์ หรือ ทำวิจัยค้นคว้าอิสระ) ส่วนทางฝั่งประเทศจีนการเรียนระดับมหาบัณฑิตจะต้องทำวิทยานิพนธ์เท่านั้น